บทบรรณาธิการ
3 กันยายน 2563
โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
ทำเอาช็อกกันไปทั้งบาง หลังการประกาศลาออกกลางคณะรัฐมนตรี (ครม.) ของ "ปรีดี ดาวฉาย" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทั้งที่เพิ่งทำงานไปได้เพียงแค่ 21 วันเท่านั้นเอง (หากนับจากวันถวายสัตย์ปฏิญาณ) โดยให้เหตุผลว่าสุขภาพไม่เอื้ออำนวย ข้ออ้างยอดฮิตที่สุด และดูจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ซึ่งลึกๆ แล้วใครๆ ก็รู้ว่าสาเหตุมันมีมากกว่าแค่ปัญหาสุขภาพ
"ปรีดี ดาวฉาย" เข้ามาเป็น รมว.คลัง ตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรี และตามคำขอของบิ๊กบอส บัณฑูร ล่ำซำ ซึ่งจะว่าไปแล้วเจ้าตัวไม่ได้ต้องการนั่งเก้าอี้ร้อนตัวนี้ซักเท่าไหร่ เพราะในสถานการณ์แบบนี้ เศรษฐกิจเยี่ยงนี้ และการระบาดของโควิดที่ลากยาวไปทั่วโลก การเข้ามากุมบังเหียนคุมเงินๆ ทองๆ และแก้ปัญหาเศรษฐกิจประเทศ จึงเหมือนกับการเข็นครกขึ้นภูเขาเลยทีเดียว เพราะขนาดเศรษฐกิจปกติไม่มีโควิดก็แย่อยู่แล้ว มาเจอขวากหนามเต็มๆ แบบนี้หนักกว่าเดิมเป็นทวีคูณ ใครจะอยากเข้ามาทำงาน
เพราะฉะนั้นการเข้ามารับตำแหน่งของปรีดี เป็นการมารับเก้าอี้ร้อนๆ ต่อจากรมว.คลัง คนก่อนชัดเจน แต่กลายเป็นว่าเก้าอี้ตัวนี้คงร้อนจนตัวไหม้ท่านขุนคลังคนปัจจุบันเลยกลายเป็นอดีตไปในเวลาอันรวดเร็ว แทบไม่ทันได้ออกนโยบายอะไรด้วยซ้ำ ส่วนสาเหตุเบื้องลึก เบื้องหลัง ของการลาออกสายฟ้าแล่บนั้น หลายๆคนน่าจะพอทราบกันอยู่แล้ว จากกระแสข่าวที่ออกมา
จริงๆ แล้วการลาออกของปรีดี คงไม่สำคัญเท่ากับว่า ในช่วงหัวเลี้ยว หัวต่อ ของเศรษฐกิจไทยตอนนี้ เราจะหาใครมาช่วยประคับประคอง คนดี คนเก่ง บ้านเรามีเยอะ แต่คนดี คนเก่ง ที่สามารถเข้ามาแล้วรับมือกับการเมือง พร้อมๆ กับประสานผลประโยชน์ของประเทศไทยได้ลงตัว อาจจะมีไม่มาก เพราะต่อให้เสียสละเข้ามาช่วยบ้านเมืองมากแค่ไหน ก็อาจจะเดินสะดุดตอเอาได้ เหนื่อยกายยังพอทน แต่เหนื่อยใจกับการต้องมางัดข้อ และเล่นการเมืองไปด้วยคงไม่ไหว เพราะแบบนี้ต่อให้หาคนเก่ง คนดี มาอีกกี่คน ก็คงยากแล้ว
หากมองอีกมุม ถามว่าแล้วเครดิตของคนเชิญล่ะ ถ้าเชิญมารับตำแหน่งก็ต้องการันตีได้ว่าจะต้องอยู่ได้ ให้เกียรติในการหาทีมงาน ให้เกียรติในการสั่งการ และวางกรอบนโยบาย ไม่ใช่ปล่อยให้มีการมาล้วงลูก หรือแงะ แซะ จนเขาอยู่ไม่ได้ เพราะคนที่เชิญก็ไม่ได้ปกป้อง เพื่อให้เขาสามารถทำงานได้อย่างเต็มความสามารถ
แบบนี้ต่อให้อีกสารพัดชือที่เป็นแคนดิเดท ไม่ว่าจะเป็น วิรไท สันติประภพ , ไพรินทร์ ชูโชติถาวร , กรณ์ จาติกวณิช หรือแม้แต่ สุชาติ ธาดาธำรงเวช ก็คงไม่น่าจะอยากมาร่วมวงไพบูลย์กับรัฐบาลด้วย แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าประเทศชาติยามนี้จำเป็นต้องพึ่งพาคนมาผลักดันนโยบาย และฟื้นฟูประเทศ เพราะเป็นแบบนี้คนเชิญ ก็แทบจะไม่เเหลือเครดิตให้ใครเชื่อใจได้อีก
ยังจำคำของดร. สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่บอกเอาไว้ก่อนจะลาออกจากตำแหน่งว่า " เราต้องการให้คนดีๆ ช่วยทำงานการเมือง แต่คนคี คนเก่ง ซื่อสัตย์สุจริต กลับอยู่การเมืองไม่ได้ และถ้าทยอยไปทีละคน ใครจะทำงาน" เพราะขนาด ดร.สมคิด ที่อยู่กับการเมืองมาหลายยุค หลายสมัย ยังเอ่ยปาก แล้วแบบนี้คนดีๆ เก่งๆ ที่ไหนจะมาทำงานด้วย เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองหนัง เอากระดูกมาแขวนคอ
หรือถ้าจะบอกไม่รักชาติ เห็นแก่ตัว หรือใจเสาะชิงลาออก ทั้งที่ยังไม่เริ่มด้วยซ้ำ แบบนี้ก็ไม่เป็นธรรมเท่าไหร่ เพราะใครจะอยากถูกเชิดเป็นหุ่น หรือถูกมอง อ่อนแอก็แพ้ไป เสียที่ไหน
เรื่องน่าห่วงที่สุดตอนนี้ คือ สุญญากาศ การบริหารเพราะยิ่งขาดเสาหลักในการบริหารเศรษฐกิจนานเท่าไหร่ ก็ส่งผลเสียต่อความเชื่อมั่นในสายตาประชาชน และนักลงทุนมากขึ้นเท่านั้น ประเทศชาติต้องเดินหน้า และไม่ใช่เวลาที่เอาการเมืองมาบีบกัน "ลุงต้องหาคนที่ใช่" และที่สำคัญพร้อมจะได้รับการหนุนหลังเต็มที่จากลุงด้วยนะ "ไม่ใช่ปล่อยให้เขาทำงานคนเดียวแล้วโดนรุมสกัมจนหมดสภาพ"
แล้วก็ขอให้ฝากไว้อีกเรื่อง กระทรวงการคลังเป็นกระทรวงใหญ่ กระทรวงสำคัญ เป็นหน้าตาของประเทศ การจะเลือกบุคคลเข้ามาดำรงตำแหน่งก็ต้องคัดเลือกระดับคุณภาพ ที่เชื่อถือได้ และได้การยอมรับจากประชาชน จากต่างประเทศ จากนักลงทุน ไม่ใช่ประเภทคุณขอมา หรือเสนอตัวอยากทำ หรือใครก็ได้
เพราะถ้ารู้ทั้งรู้ว่าคุณสมบัติไม่ได้ แล้วยังดึงดันจะให้มารับตำแหน่ง เพราะแบบนั้นบอกเลยว่า มีสิทธิ์พัง จากที่ตอนนี้ก็แทบจะพังอยู่แล้ว ตอนนี้ทุกฝ่ายต้องเห็นแก่บ้านเมือง แก่ประเทศชาติ ทำอะไรเพื่อชาติกันดีกว่า อย่ามารุมทึ้งหาผลประโยชน์ในวันที่ประเทศแทบไม่เหลืออะไรอยู่แล้วเลย
บทความอื่นๆที่น่าสนใจ
RECOMMENDED NEWS
Let's block ads! (Why?)
No comments:
Post a Comment