สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทยผ่านไป 5 เดือนแล้ว ตลอดระยะเวลา 5 เดือนที่ผ่านมาประเทศไทยมีผู้ป่วยโควิด-19 สูงสุดที่ระดับ 3,000 คนและมีผู้เสียชีวิตระดับ 50 คน และถือเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จในการรับมือกับโควิด-19 ในลำดับแรกของโลก
ทำให้คนที่เคยสร้างกระแสให้เกิดการตระหนกตกใจทั้งบ้านทั้งเมืองว่าการมาของโควิด-19 นี้เป็นเรื่องร้ายแรงมาก ภายในวันที่ 15 เมษายน 2563 จะมีผู้ติดเชื้อถึง 350,000 คน และจะมีคนเสียชีวิตถึง 25,000 คนไม่รู้จะมองหน้าผู้คนได้อย่างไร
เพราะในขณะที่สร้างกระแสดังกล่าวนี้ ทั่วทั้งโลกมีผู้ป่วยยังไม่ถึง 100,000 คน และมีผู้เสียชีวิตยังไม่ถึง 2,000 คน แล้วประเทศไทยซึ่งมีประชากรแค่ 70 ล้านคน จะเป็นไปดังที่สร้างกระแสได้อย่างไร
การสร้างกระแสให้ตื่นตระหนกตกใจทั่วโลกนั้น ขณะนี้ก็มีความชัดเจนแล้วว่าเป็นความพยายามของขบวนการวัคซีนโลก ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นเจ้าของสิทธิบัตรโควิด-19 ทั้งได้เตรียมการเรื่องวัคซีนมาล่วงหน้าแล้ว มุ่งหวังที่จะขายวัคซีนให้แก่ชาวโลกถึง 7,000 ล้านคนถึงขนาดประชุมทีมขายในช่วง 3 เดือนก่อนตรุษจีนและประกาศอย่างชัดเจนว่าในช่วงวันตรุษจีนจะมีโรคระบาดใหญ่ร้ายแรงที่จะมีผู้ป่วยทั้งโลก 65 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิต 25 ล้านคน ให้เตรียมการให้พร้อมเพื่อขายวัคซีนทั่วโลก
ดังนั้นในพลันที่มีข่าวแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศจีน จึงเกิดการโหมกระแสกันเป็นลูกระนาด สร้างความตื่นตระหนกตกใจไปทั่วโลก
การปลุกกระแสดังกล่าวนั้นวางจุดหมายปลายทางไว้ที่ต้องรอวัคซีนจึงจะเป็นการสิ้นสุดของการแพร่ระบาด และมีแต่วัคซีนเท่านั้นที่เป็นสรณะเป็นที่พึ่งในการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งถ้าเกิดผลสำเร็จดังที่วาดหวังก็จะสร้างความร่ำรวยมหาศาลให้แก่ขบวนการวัคซีนโลกนี้
ถึงขนาดมีการฟ้องคดีต่อศาลแห่งสหรัฐให้บังคับรัฐบาลให้ออกกฎหมายบังคับให้ทุกคนต้องฉีดวัคซีนและต้องฝังชิพเพื่อติดตามผล เดชะบุญที่ศาลฎีกาของสหรัฐยกฟ้องโดยเหตุผลสองประการ คือ ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าวัคซีนเท่าที่มีอยู่หรือเท่าที่มีสูตรอยู่นั้นจะป้องกันไวรัสได้แน่หรือไม่ และไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าการฝังชิพในร่างกายมนุษย์ในเรื่องนี้จะไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์
โดยขณะนั้นมีข่าวว่าการใช้วัคซีนและการฝังชิพจะมีผลทำให้ภูมิต้านทานของมนุษย์อ่อนแอลง และมนุษย์จะถูกควบคุมพฤติกรรมโดยทางไบโอเทคโนโลยีอย่างอำมหิตที่สุด จึงทำให้คำตัดสินของศาลฎีกานั้นได้รับการชื่นชมยินดีจากทั่วโลก
หาไม่แล้วหากรัฐบาลสหรัฐต้องถูกบังคับให้ออกกฎหมายเช่นว่านั้น ก็จะเป็นแบบอย่างและอาจใช้เป็นตัวอย่างในการบีบบังคับให้ประเทศต่างๆ จำเป็นต้องออกกฎหมายอย่างเดียวกัน และเป็นทางที่ประเทศไทยและคนไทยก็อาจต้องประสบชะตากรรมตามไปด้วย
ให้ตั้งข้อสังเกตไว้ในใจของทุกคนเถิดว่า ทิศทางของขบวนการวัคซีนโลกนั้นจะไม่ส่งเสริม รวมทั้งการต่อต้านการใช้ยาทั้งหลายและแบบแผนการรักษาทั้งหลายที่จะใช้รักษาโควิด-19 อย่างเข้มข้นและทำให้เครือข่ายข้าทาสบริวารในวงการยาทั่วโลกที่อยู่ในเครือข่ายต้องขับเคลื่อนไปตามทิศทางนี้ ราวกับว่าเป็นประกาศิตที่ทุกคนต้องทำตาม แม้ในประเทศไทยก็ตั้งข้อสังเกตให้ดีเถิดก็จะเห็นความจริงว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น
แต่ทว่ายังเป็นบุญของชาวโลกที่ความชั่วร้ายทั้งหลายแม้จะวางแผนและใช้เครือข่ายอิทธิพลมากมายกลับล้มเหลวลงด้วยปรากฏการณ์สองอย่างที่เกิดขึ้นอย่างอัศจรรย์
อย่างแรก เกี่ยวกับยาที่รักษาโควิด-19 ซึ่งโดยทั่วไปนั้นกว่าจะค้นคว้า กว่าจะวิจัย และกว่าจะผลิตยามารักษาได้โดยตรงก็ต้องใช้เวลาถึงสองปี ซึ่งถึงเวลานั้นการจำหน่ายวัคซีนแก่ชาวโลกก็คงจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ไปแล้ว
เดชะบุญที่แพทย์โรงพยาบาลราชวิถีได้ทดลองใช้ยาค็อกเทลซึ่งเป็นยาผสมระหว่างยารักษา HIV กับยารักษาไข้หวัดซาร์ส และสามารถรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ให้หายเป็นคนแรกของโลกจนมีการแถลงข่าวกันครึกโครมสนั่นลั่นโลก และในเวลาไม่กี่วันหลังจากนั้นคณะแพทย์โรงพยาบาลราชวิถีก็ใช้ระบบคิดเรื่องเซรุ่มคือใช้พิษงูรักษาพิษงูที่ได้ผลในเวลาอันไม่กี่ชั่วโมง ริเริ่มทดลองใช้พลาสมาจากลุงขับแท็กซี่คนหนึ่งที่รักษาให้หายแล้ว ขอรับบริจาคพลาสมาจากลุงขับแท็กซี่ผู้ป่วยโควิด-19 นั้นมาฉีดให้กับผู้ป่วยโควิด-19 รายอื่น
และประสบความสำเร็จในการรักษาเพราะหายป่วยได้ในเวลา 48 ชั่วโมง จนมีการแถลงข่าวรอบที่สองดังสนั่นลั่นโลก และทั้งสองกรณีนี้ก็ได้มีการส่งไปลงในวารสารอนามัยโลกกันแล้ว แต่ทว่าเรื่องทั้งหมดนี้กลับเงียบหายไปในประเทศไทย
ในขณะเดียวกัน ประเทศจีนก็ได้นำยาค็อกเทลต้นแบบไปผลิตในทุกมณฑลและนำไปใช้อย่างกว้างขวาง รวมทั้งการใช้พลาสมาในการรักษาผู้ป่วยด้วย และยังมีการใช้ยาจีนถึง 6 ขนาน ในการรักษาผู้ป่วย จึงทำให้สามารถรักษาผู้ป่วยโควิด-19 เกือบ 80,000 คน หายได้เกือบหมดในเวลา 20 วันเท่านั้น
จึงเท่ากับประเทศไทยได้ทำลายแผนร้ายนี้ด้วยความบังเอิญ ในขณะที่ประเทศจีนได้ทำลายแผนร้ายนี้ได้สำเร็จอย่างกว้างขวางและนำไปช่วยประเทศต่างๆ ด้วย
อย่างที่สอง สูตรวัคซีนที่เตรียมไว้กลับใช้ไม่ได้ผล จึงต้องปรับปรุงสูตรใหม่เป็นครั้งที่ 1 และล้มเหลวอีก และต้องปรับปรุงเป็นครั้งที่ 2 ก็ล้มเหลวอีก จึงมีการปรับปรุงเป็นครั้งที่ 3 และครั้งนี้บริษัทยาของสหรัฐ อังกฤษ และอิสราเอล ก็ได้ประกาศว่าได้ทำการวิจัยและผลิตวัคซีนใกล้สำเร็จแล้ว จะสามารถนำออกจำหน่ายได้ 400 ล้านโดรส ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้
ดังนั้นในการจัดการกับการแพร่ระบาดของโควิด-19จึงมีสองกระแสหลัก คือกระแสที่รอวัคซีนมาโปรดตามแผนการเดิม และกระแสการใช้ยาและแบบแผนการรักษาให้หายได้ในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งจะปฏิบัติต่อเรื่องนี้เช่นเดียวกับการรักษาไข้หวัดใหญ่ คือป่วยก็มารับยาไปกินที่บ้าน ไม่กี่วันก็หาย และจะเกิดภูมิต้านทานขึ้นเองไม่จำเป็นจะต้องกลัวอันใด
กระแสดังกล่าวนั้นกำลังแพร่หลายไปในหลายประเทศ จึงมีการปลดล็อกเปิดประเทศกันอย่างคึกคัก ตรงกันข้ามกับประเทศที่ถือวัคซีนเป็นสรณะ ก็จะทำ
ทุกอย่างเพื่อล็อกดาวน์และปิดประเทศต่อไปจนกว่าวัคซีนจะมาโปรด และเมื่อถึงวันนั้นทั้งประเทศจะเหลือแต่ซากและความพินาศล่มจมก็หายได้สนใจใดๆ ไม่
แล้วคนไทยเล่าจะเลือกเอาแบบไหน!
"การมา" - Google News
June 02, 2020 at 02:00AM
https://ift.tt/3cjhZKR
คอลัมน์การเมือง - จะรักษาคนป่วยให้หายก่อนหรือว่าจะรอวัคซีนมาโปรด? - หนังสือพิมพ์แนวหน้า
"การมา" - Google News
https://ift.tt/3cm7t5w
Home To Blog
No comments:
Post a Comment