Pages

Sunday, June 7, 2020

ชักเย่อเศรษฐกิจโลก ร่วมใจเอาชัยโควิด-19 - ประชาชาติธุรกิจ

buahasema.blogspot.com
คอลัมน์ ร่วมด้วยช่วยคิด
ดร.ดอน นาครทรรพ, ดร.นครินทร์ อมเรศ, พรชนก เทพขาม
สายนโยบายการเงิน ธปท.

สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโคโรน่า 2019 หรือโควิด-19 ที่กำลังก่อตัวเป็นวิกฤตการณ์เศรษฐกิจโลกนั้น นับเป็นกรณีพิเศษที่แตกต่างจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจแต่ละรอบในอดีต เช่น วิกฤตต้มยำกุ้งปี 1997 และวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2008-2009 ซึ่งมีตัวจุดชนวนสำคัญคือ ความร้อนแรงในภาคการเงินผ่านการ
ถือครองสินทรัพย์เสี่ยงทั้งในตลาดหลักทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้ความเปราะบางของภาวะตลาดการเงินในขณะนั้น ผู้ได้รับผลกระทบหลักจึงเริ่มต้นจากนักธุรกิจการเงินที่อยู่ในภาคธุรกิจใหญ่และได้รับผลกระทบโดยตรง ก่อนที่จะลามมาสู่ภาคเศรษฐกิจจริงในวงกว้าง

สำหรับวิกฤตการณ์โควิดในรอบนี้เกิดจากการสะดุดตัวในภาคเศรษฐกิจจริงที่ต้องหยุดชะงักลง ทำให้ผู้ได้รับผลกระทบหลักกลายเป็นผู้มีรายได้น้อยที่ต้องหาเช้ากินค่ำ ขณะที่ภาคการเงินเองยังมีเกราะกำบังจากความเข้มแข็งมาแต่เดิม จึงยังคงรับมือกับระยะเริ่มต้นของวิกฤตได้ ในวันนี้จึงขอเชิญทุกท่านมาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับความไม่สอดคล้องระหว่างภาคการเงินและภาคเศรษฐกิจจริง

ขอเริ่มด้วยการหยิบยกถ้อยคำให้สัมภาษณ์ที่เผยแพร่ในวันที่ 17 พ.ค.ที่ผ่านมาของ Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจต้องใช้เวลาจนถึงสิ้นปีหน้าจึงจะฟื้นตัวได้เต็มที่ โดยปัจจัยชี้ขาดสำคัญคือ ความเชื่อมั่นของภาคประชาชนในระหว่างที่รอการมาถึงของวัคซีน ซึ่ง Mohamed El-Erian หัวหน้าที่ปรึกษาด้านเศรษฐศาสตร์ของกลุ่มบริษัท Allianz วิพากษ์ว่า Powell พูดเรื่องเก่าที่ตลาดรับทราบอยู่แล้ว แท้จริงแล้วภาวะการเงินโลกกำลังแกว่งไกวไปมาตามแรงส่งของความคาดหวังที่นักลงทุนมีต่อนโยบายเศรษฐกิจที่ชักเย่ออยู่กับแรงต้านของปัจจัยพื้นฐานในการแพร่ระบาด ดังนั้น ตลาดการเงินจึงคาดหวังข่าวดีจากผู้ดำเนินนโยบายมากกว่าการอธิบายสถานการณ์

เมื่อพิจารณาตามความเห็นของ Mohamed แล้ว จะพบว่าปัจจัยหลักที่ยังสนับสนุนภาวะการเงินโลกคือ ความเชื่อมั่นที่มีต่อนโยบายเศรษฐกิจ ซึ่งหากเรามองภาพความสัมพันธ์ระหว่างภาวะการเงินและเศรษฐกิจจริงผ่าน
การเทียบเคียงดัชนีตลาดหลักทรัพย์ S&P 500 ของสหรัฐ เทียบเคียงกับตัวเลข GDP แล้ว จะพบว่าวิกฤตการณ์เศรษฐกิจส่วนใหญ่ในรอบเกือบ 30 ปีนี้ เกิดปัญหาในภาวะการเงินควบคู่ไปกับการถดถอยของภาคเศรษฐกิจจริง

ต่างจากสถานการณ์ชะลอตัวของเศรษฐกิจครั้งล่าสุดตั้งแต่ปีที่แล้ว ก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด ซึ่งเศรษฐกิจชะลอตัวลงแต่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์กลับพุ่งทะยานสวนทางกับเศรษฐกิจจริง จนกระทั่งวิกฤตโควิดฉุดดัชนีตลาดหลักทรัพย์ให้ย่อตัวลง แต่ความเชื่อมั่นต่อนโยบายเศรษฐกิจยังสร้างแรงหนุนให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เด้งกลับสวนทางกับตัวเลข GDP ในไตรมาสแรกของปี

สำหรับในกรณีของประเทศไทยแล้ว ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทยดิ่งลงแรงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจตั้งแต่ปี 2019 แต่น่าสังเกตว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในช่วงเดือนล่าสุดเกิดสภาพการณ์เด้งกลับ คล้ายคลึงกับดัชนี S&P 500 ของสหรัฐ ไม่สอดคล้องกับตัวเลข GDP ไตรมาสแรกที่ประกาศในวันที่ 18 พ.ค. และการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์สำนักต่าง ๆ ว่า เศรษฐกิจไทยทั้งปีจะหดตัวระหว่างร้อยละ 5-10

ซึ่งเมื่อมองย้อนไปแล้วจะพบว่า สถานการณ์ความไม่สอดคล้องระหว่างภาวะการเงินกับภาคเศรษฐกิจจริงของไทย เคยเกิดขึ้นในช่วงสถานการณ์ที่เรียกว่า stock market sell off ระหว่างปี 2015-2016 ซึ่งดัชนีตลาดหลักทรัพย์ทิ้งตัวแรงตามดัชนตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก ภายใต้หลายปัจจัยทั้งการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจจีน การร่วงลงของราคาน้ำมัน ปัญหาวิกฤตหนี้ประเทศกรีซ ผลกระทบหลังการยุติมาตรการ QE ของธนาคารกลางสหรัฐ จนมาถึง Brexit

ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ทำให้ GDP สหรัฐชะลอตัวควบคู่กับการย่อตัวของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ และส่งผลมากระทบ
ตลาดหลักทรัพย์ไทย สะท้อนความเชื่อมโยงระหว่างตลาดหลักทรัพย์ของไทย และตลาดหลักทรัพย์ของโลก ดังนั้น การชักเย่อระหว่างภาคการเงินและเศรษฐกิจจริงคงกำลังเกิดขึ้นในไทยเช่นเดียวกับโลก แน่นอนว่าการชักเย่อระหว่างภาคการเงินและเศรษฐกิจจริงเป็นเพียงการถ่วงเวลาเพื่อรอให้กรรมการสำคัญคือ การค้นพบวัคซีนมาเป่านกหวีดยุติศึก

ดังนั้น ในระหว่างที่ศึกชักเย่อยังดำเนินต่อไปนั้น จึงเป็นที่ถกเถียงกันว่าภาวะเศรษฐกิจต่อไปจะเป็นอย่างไร กรณีที่ดีที่สุดคือ รูปตัว V เมื่อเศรษฐกิจฟื้นฟูกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้อย่างรวดเร็ว กรณีรูปตัว U เมื่อห้วงเวลาที่เศรษฐกิจซบเซายังอยู่นานก่อนฟื้นตัว หรือกรณีเลวร้ายในรูปตัว L คือเศรษฐกิจฟุบยาวและไม่อาจพลิกตัวได้

ซึ่งภายใต้สถานการณ์ในการชักเย่อแล้ว มีความเป็นไปได้มากว่าภาวะเศรษฐกิจจะเป็นรูปตัว W คือเศรษฐกิจมีความผันผวน มีการถดถอยและปรับดีขึ้นหลังการเปิดเมือง แต่ตราบใดที่ยังไม่มีวัคซีน การกลับมาแพร่ระบาดของโควิดในบางประเทศจะยังเป็นปัจจัยถ่วงเศรษฐกิจโลก และเมื่อใดที่ความเชื่อมั่นต่อนโยบายเศรษฐกิจถูกบั่นทอน เศรษฐกิจ ก็อาจปรับลดลงไปอีก หรือ double-dip ก่อนกลับเข้าสู่ภาวะปกติใหม่ หรือ
new normal หลังวัคซีนถูกค้นพบ

โดยสรุปแล้วความเชื่อมั่นต่อนโยบายเศรษฐกิจเป็นเครื่องค้ำจุนสำคัญให้นักลงทุนยังเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจทั้งนโยบายการเงินและนโยบายการคลังที่มีประสิทธิผล ทำได้เร็ว ครอบคลุมผู้ได้รับผลกระทบอย่างทั่วถึงจึงมีความสำคัญยิ่ง

อย่างไรก็ดี ผู้เล่นสำคัญที่จะเป็นกำลังหลักในศึกชักเย่อนี้คือ ประชาชน และภาคธุรกิจ ซึ่งต้องร่วมหาหนทางรับมือทั้งการปรับตัวประคองธุรกิจในระยะสั้น และการปรับรูปแบบธุรกิจให้สอดคล้องกับภาวะปกติใหม่หลังศึกโควิดยุติลง เพื่อให้การฟื้นตัวทั้งในภาคการเงินและเศรษฐกิจเป็นไปอย่างเข้มแข็งและยกระดับศักยภาพการเติบโตของประเทศได้อย่างยั่งยืน

Let's block ads! (Why?)



"การมา" - Google News
June 07, 2020 at 06:52PM
https://ift.tt/3gWt745

ชักเย่อเศรษฐกิจโลก ร่วมใจเอาชัยโควิด-19 - ประชาชาติธุรกิจ
"การมา" - Google News
https://ift.tt/3cm7t5w
Home To Blog

No comments:

Post a Comment